ตัวอย่างการทำ E-Commerce และการทำ SEO สินค้าโอทอป O-TOP จังหวัด พิจิตร และ E-Commerce

ตัวอย่างการทำ E-Commerce และการทำ SEO
สินค้าโอทอป O-TOP จังหวัด พิจิตร และ E-Commerce

1.แนวคิด วัตถุประสงค์ และรายละเอียดของสินค้า
            แนวความคิด จากการที่ข้าวมีราคาตกต่ำ เมื่อนำไปขายที่โรงสีหลังการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล เนื่องจากเป็นการกำหนดราคากลางจากทางโรงสีและพ่อค้าคนกลาง ในขณะที่ผู้บริโภคที่ซื้อข้าวสารเพื่อการบริโภค ต้องซื้อข้าวสารที่มีราคาสูงและแตกต่างจากราคาข้าวจากเกษตรกร ดังนั้น การนำสินค้าข้าวไรซ์เบอรี่ที่มีคุณสมบัติดีต่อสุขภาพของผู้ที่ได้รับประทานจนถึงระดับที่ถูกคัดเลือกเป็นของดีหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอทอป ประจำจังหวัดพิจิตรซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกข้าวแหล่งใหญ่และสำคัญแหล่งหนึ่งของประเทศ มาจำหน่ายผ่านระบบ E-Commerce เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านระบบการค้าขายอิเล็กทรอนิกส์ หรือการร้านค้าออนไลน์ โดยชาวนาจะได้ประโยชน์จากการขายข้าวได้ราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคก็จะได้เลือกซื้อข้าวที่มีคุณภาพที่ดีในราคาที่เหมาะสมเช่นกัน
          วัตถุประสงค์
1.      เพื่อให้ชาวนาจังหวัดพิจิตรสามารถขายข้าวไรซ์เบอรี่ ให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยขายได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเอาเปรียบด้าน ราคา ความชื้น หรือน้ำหนัก จากโรงสี หรือ พ่อค้าคนกลาง
2.      เพื่อให้ผู้บริโภคได้สามารถเลือกซื้อข้าวไรซ์เบอรี่ ที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง ในราคาที่เหมาะสมและสะดวกในการสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ และเป็นการสนับสนุนชาวนาให้สามารถขายข้าวได้ราคาเหมาะสม

          รายละเอียดของสินค้า
            

             ข้าวไรซ์เบอร์รี คงเป็นคำที่แปลกใหม่สำหรับหลาย ๆ คน ซึ่งตอนนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์อาหารเพื่อคนรักสุขภาพที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ไรซ์เบอร์รีก็คือข้าวสายพันธุ์หนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ช่วยแก้ปัญหาภาวะโรคต่างๆ ได้อย่างทุเลาเบาบางอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้ข้าวไรซ์เบอรี่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากว่าใครที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพในตอนนี้ เพราะยิ่งการใช้ชีวิตในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนมาก งานเยอะ เวลาน้อย ทำให้หลายคนไม่มีเวลาพอที่จะหาเวลาพักเข้าฟิตเนสออกกำลังกายเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพ การใส่ใจในอาหารการกินจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและสะดวกมากที่สุด

            ทางเลือกหนึ่ง ที่ง่ายและสะดวกคือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นการกินข้าวไรซ์เบอรี่ เพราะข้าวเป็นสิ่งที่คนไทยต้องรับประทานเป็นอาหารหลัก ดังนั้นหากการรับประทานข้าวเป็นข้าวไรซ์เบอร์รีก็จะได้รับประโยชน์ที่มากขึ้นไปอีก
 ต้นกำเนิดข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวไรซ์เบอรี่ (ภาษาอังกฤษ: Rice Berry)
            

            เป็นผลงานการปรับปรุงสายพันธุ์ของ รศ.ดร.อภิชาติ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 และทีมนักวิจัยจาก ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และความร่วมมือจากคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ ระหว่าง ข้าวเจ้าหอมนิล ซึ่งเป็นสายพันธุ์พ่อ + ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นสายพันธุ์แม่ ทำให้ได้ลักษณะที่ดีและคุณประโยชน์เด่นๆ ออกมา ซึ่งพันธุ์ข้าวนี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่ ห้ามมีการนำไปขยายพันธุ์ในเชิงการค้าต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก วช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมล็ดข้าวไรซ์เบอร์รี่

ลักษณะข้าวไรซ์เบอรี่
            ข้าวไรซ์เบอรี่มีลักษณะเรียวยาว ผิวมันวาว เป็นข้าวจ้าวสีม่วงเข้มคล้ายกับลูกเบอร์รี่ที่มีสีม่วงเข้มเมื่อสุก หากเป็นข้าวกล้องจะมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งยังมีรสชาติหอมมัน เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม เนื่องจากผ่านการขัดสีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น จึงยังทำให้คงคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้อย่างครบถ้วน ข้าวสายพันธุ์พิเศษสีม่วงนี้สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี มีอายุเก็บเกี่ยว 130 วัน ให้ผลผลิตปานกลาง มีความสามารถต้านทานต่อโรคไหม้ แต่ไม่ต้านทานโรคหลาว จึงแนะนำให้เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ทุกรอบของการปลูก ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีอยู่มากในการปลูกข้าวสายพันธุ์นี้แต่ยังไม่เป็นที่นิยมเพาะปลูกในหมู่เกษตรกรมากนัก เนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวที่ดูแลรักษายาก ต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ อีกทั้งยังต้องปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งต้องปลูกในสภาพอากาศเย็น ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลต่อสีของเมล็ดข้าว และจะทำให้คุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในข้าวไรซ์เบอรี่มีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

 สรรพคุณ และคุณค่าทางอาหาร
             ข้าวไรซ์เบอรี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูง โดยคุณประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุดจะพบได้ในน้ำมันรำข้าว และรำข้าว มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดี อุดมไปด้วยโฟเลจในปริมาณสูง นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด ได้แก่ เบต้าแคโรทีน, แกมมาโอไรซานอล, วิตามินอี, วิตามินบี 1, ลูทีน, แทนนิน, สังกะสี, โอเมก้า 3, ธาตุเหล็ก, โพลีฟีนอล และเส้นใย เป็นต้น ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยในการ
1.      บำรุงร่างกาย
2.      บำรุงสายตา
3.      บำรุงระบบประสาท
4.      ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
5.      ช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหลอดเหลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคสมองเสื่อม และโรคโลหิตจาง
6.      มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ช่วยชะลอความแก่
7.      ลดระดับไขมัน และคอเรสเตอรอลได้
            เป็นการรับประทานเพียง 1 ที่ได้ถึง 2 เป็นทั้งข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนไทย ทั้งยังเป็นสมุนไพรไปด้วยในตัว ครบทุกคุณประโยชน์แถมยังมีรสอร่อยถูกปากอีกด้วย


คุณค่าทางโภชนาการของข้าวไรซ์เบอร์รี
           ค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง                   62
          ปริมาณอะไมโลส (amylose)            15.6 %   
           อุณหภูมิแป้งสุก                            < 70         องศาเซลเซียส
          ธาตุเหล็ก                                   13-18        มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
          ธาตุสังกะสี                                  31.9          มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
          โอเมก้า 3                                   25.51       มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม          
          วิตามิน อี                                    678           ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          โฟเลต                                       48.1          ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          เบต้า-แคโรทีน                             63             ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม
          โพลีฟีนอล                                   113.5         มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
          แทนนิน                                       89.33        มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
           แกมมาโอไรซานอล                        462           ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม

ผู้ที่สามารถทานข้าวไรซ์เบอรี่ได้
             ข้าวไรซ์เบอรี่ เหมาะกับผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ เพราะถือได้ว่าเป็นข้าวที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์สูง โดยจำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้
ผู้สูงวัย ควรได้รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งข้าวไรซ์เบอรี่มีสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมสร้างประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือด ชะลอความแก่ บำรุงสายตาและระบบประสาท
ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วน ที่สามารถเปลี่ยนมารับประทานข้าวไรซ์เบอรี่ที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ เนื่องจากในข้าวสายพันธุ์นี้มีดัชนีน้ำตาลที่ต่ำกว่าข้าวทั่วไป
สตรีมีครรภ์ เมื่อได้บริโภคข้าวสายพันธุ์นี้เข้าไปแล้วจะช่วยให้บุตรในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง สามารถป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้ เพราะในข้าวไรซ์เบอรี่มีสารโฟเลต อีกทั้งยังมีน้ำตาลต่ำ ช่วยให้มารดาควบคุมน้ำหนักไม่ให้ครรภ์เป็นพิษ อีกทั้งยังมีธาตุเหล็กสูงซึ่งในหญิงมีครรภ์จะมีความต้องการแร่ธาตุชนิดนี้มากกว่าคนปกติ
ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หากรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่เป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ช่วยในการบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
            นอกจากนั้น ข้าวไรซ์เบอรี่ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายหากรับประทานแทนข้าวขาวเป็นประจำ โดยเฉพาะข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ที่มีเส้นใย ช่วยลดระดับไขมันและคอเรสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก รักษาระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ เนื่องจากสารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในข้าวชนิดนี้เสมือนเป็นยารักษาชั้นเลิศ ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารเป็นยา ดีกว่าการรับประทานยาเป็นอาหาร ในปัจจุบัน ข้าวไรซ์เบอรี่ กำลังได้รับความนิยมในบรรดาคนรักสุขภาพหันมาบริโภคมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยคุณประโยชน์ที่มากมายจึงมีการนำเอาไปใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดในทางการแพทย์ รวมถึงนำไปแปรรูปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากมาย อาทิ ซูชิ โดนัท คุกกี้ เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป และข้าวตังเป็นต้น

รงค์วัตถุสีม่วงของข้าวไรซ์เบอรี่
            สีม่วงเข้มที่พบในข้าวไรซ์เบอรี่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติเนื่องจากมีส่วนประกอบเป็น สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)” ซึ่งก็คือรงค์วัตถุหรือสารสี สามารถละลายน้ำได้ดี และจัดอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (flavonoid) หรือสาร ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ค่าการต้านอนุมูลอิสระในข้าวไรซ์เบอรี่ สำหรับประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระที่พบในข้าวไรซ์เบอรี่ ซึ่งมีสีม่วงเข้มมากตามธรรมชาติ อยู่ที่ 229 304.7 umole/g การศึกษานี้ทำด้วยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) เรียกได้ว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลไม้หรือเครื่องดื่มชาเขียวที่ได้รับการยกย่องในด้านสรรพคุณที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระแล้ว ในข้าวชนิดนี้มีคุณค่าในการป้องกันสูงมากเกือบ 100 เท่า ประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระหลังการหุงต้ม กระบวนการหุงข้าวหรือต้มข้าวไรซ์เบอรี่ด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระลดลงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับในข้าวดิบ แต่หากเทียบกับผักผลไม้บางชนิด น้ำชาเขียวในท้องตลาด หรือน้ำผลไม้แล้ว เมล็ดข้าวสีม่วงชนิดนี้ก็ยังให้ผลในการป้องกันสารอนุมูลอิสระได้สูงกว่าอยู่ดี จึงถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ในเมื่อสารต้านอนุมูลอิสระไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมด เมื่อเรารับประทานข้าวไรซ์เบอรี่เข้าไป รวมกับสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีอยู่จากอาหารชนิดอื่นๆ ด้วยแล้ว จัดว่าเพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ใครที่ยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย ก็อยากให้มองเรื่องของการดูแลเกี่ยวกับอาหารการกิน น่าจะเหมาะสมกับการดำเนินชีวิตมากกว่า แต่หากพอมีเวลาก็อยากให้ออกกำลังกายควบคู่กันไป เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง ข้าวไรซ์เบอรี่ อาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เข้ากันได้ดีกับชีวิตของเราในทุกวันนี้ เพราะทุกมื้ออาหารถือเป็นเรื่องสำคัญ
วิธีการหุง ข้าวไรซ์เบอร์รี ให้อร่อย
          ข้าวไรซ์เบอร์รีจัดเป็นข้าวกล้องชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการหุงให้อร่อยก็ควรที่จะนำไปผสมกับข้าวหอมมะลิเพื่อให้ข้าวที่รับประทานเหนียวนุ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากต้องการหุงข้าวชนิดนี้เพียงอย่างเดียวก็ควรจะใช้สัดส่วนดังนี้ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ  1.5 ส่วน โดยหุงต้มประมาณ 35 นาที แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ก็จะได้รับประทานข้าวไรซ์เบอร์รีที่นุ่มและมีสีสันน่ารับประทาน
ที่มา http://www.เกร็ดความรู้.net/ข้าวไรซ์เบอรี่/
http://www.thailovehealth.com/nutrient/health-18274.html
http://health.kapook.com/view99263.html

2.การจดโดเมนเนม ภาษา ซอร์ฟแวร์ หรือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างเว็บ การจดโดเมน
            จะทำการจด 2 แบบคือ
 1.www.RicebeeryPhichit.com โดยให้มี Keyword คือคำว่า Rice=ข้าว
Berry=ชื่อสายพันธ์เบอรี่ Phichit=คือชื่อแหล่งปลูกคือจังหวัดพิจิตร
2.www.ข้าวไรซ์เบอรี่พิจิตร.com โดยให้มี Keyword คือคำว่า ข้าวไรซ์เบอรี่ และ พิจิตร ซึ่งเป็นแหล่งปลูก
ทั้งนี้การจดทั้ง 2 แบบจะทำให้มี Keyword ครอบคลุมทั้ง 2 ภาษา และจะมีผลดีต่อการทำ SEO
ภาษา
            ภาษาในเว็บจะถูกกำหนดไว้เบื้องต้น 2 ภาษาก่อน ในระยะเริ่มต้น คือภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จากนั้น ในระยะต่อไปจึงจะทำการขยายเป็นภาษาอื่นๆที่ มีการบริโภคข้าวและมีการสั่งซื้อข้าวเพื่อบริโภคในประเทศเช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยมีเมนูให้เลือกภาษาในหน้าเว็บไซด์
ซอร์ฟแวร์
            จะเน้นซอร์ฟแวร์ที่เป็นซอร์ฟแวร์สำเร็จรูปที่ไม่ต้องใช้ทักษะในการดูแลมากนัก เช่นการใช้เครื่องมือทำ web ที่เป็น Wordpress โดยอาศัย Plugin ต่างๆเข้าช่วย ทั้งนี้เพื่อง่ายแก่การอัพเดทราคา ประเภทสินค้า จำนวนสินค้า ข่าวสารต่าง โดยเกษตรกร ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีความชำนาญและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการจัดการเว็บไซด์มากนักสามารถจัดการบริหารเว็บไซด์ได้แบบง่ายๆ และนอกจากนี้ Wordpress ยังสามารถที่จะทำ SEO ได้ง่ายทำให้สามารถติดอันดับค้นหาที่หน้าแรกๆของ Serch Engine ได้อีกด้วย
เครื่องมืออื่น
            เครื่องมือที่จำเป็น ได้แก่
1.กล้องถ่ายรูปสำหรับการถ่ายภาพผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเว็บไซด์
2.เครื่องชั่งน้ำหนักสำหรับการบรรจุข้าวให้ได้มาตรฐาน
3.เครื่องแพคข้าวสาร เพื่อสามารถบรรจุข้าวสารในผลิตภัณฑ์โดยอาจจะมีทั้งถุงเล็ก 500 กรัม,1 กิโลกรัม ,5 กิโลกรัม และ 1 ถัง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และอาจใช้การบรรจุแบบสุญญากาศ ตามความนิยมอีกด้วย
4.เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต สำหรับจัดการเว็บไซด์ และรับออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้า จากลูกค้า
3.ออกแบบโครงร่างเพจหน้าแรกของเว็บไซต์ กำหนด keyword และระบุการจัด วาง keyword พร้อมระบุ tool ที่ช่วยในการกำหนด keyword
การเลือกรูปแบบเว็บไซต์(Template) และจัดโครงสร้างหน้าแรก(Layout)
            โดยเริ่มจากการเลือกรูปแบบเว็บไซต์ (Template) และจัดโครงสร้างการแสดงผลของเว็บไซต์ (Layout)  ว่าต้องการจะสร้างเว็บไซต์ให้อยู่ในรูปแบบใด เช่น มีการแสดงข้อมูลบนหน้าแรกแบบโครงสร้างข้อมูลคอลัมน์เดียว หรือมีสองคอลัมน์ซ้ายและขวาแสดงข้อมูลสองกลุ่มคู่กัน  เมนูย่อยจะอยู่ซ้ายหรือขวา เป็นต้น โดยมีวิธีการดังนี้
 เลือกรูปแบบเว็บไซต์ (Template)
            เบื้องต้นจะต้องเลือกรูปแบบ Template แบบใดแบบหนึ่งที่มี Template ให้โหลดหลากหลายมากหากใช้ Wordpress  โดยที่สามารถเปลี่ยนสีและรูปภาพส่วนหัวเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับข้าวไรซ์เบอรี ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญที่ต้องการจัดจำหน่ายผ่านระบบ E-Commerce ที่สำคัญคือ template ที่เลือกต้องสามารถที่จะใช้เวลาโหลดหน้าแรกไม่นาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ หากใช้เวลาโหลดนาน ผู้เข้าชมเว็บไซต์อาจจะเปลี่ยนใจไม่รอจนเข้าเว็บได้
ส่วนประกอบของเว็บไซต์

จะมีส่วนหลักๆอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ส่วนดังนี้
Containing block
            เป็นส่วนที่แสดงเกี่ยวกับเนื้อหาหลักของเว็บ ซึ่งในที่นี้คือข้าวไรซ์เบอรี โดยหลักโดยควรประกอบไปด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับข้าวไรซ์เบอรี โดยมีคีเวอร์ดคำว่าข้าวไรซ์เบอรี โดยต้องมีคำที่เป็น Keyword อยู่ในหน้าแรกให้เยอะๆถี่ๆแต่ประโยคต้องเป็นธรรมชาติอ่านรู้เรื่องไม่เป็นลักษณะสแปมมากสามารถอ่านเนื้อหาได้อย่างสละสลวย อ่านเข้าใจและอ่านรู้เรื่อง
Logo
            เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเว็บไซต์หรือสินค้าที่ ทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานจดจำเราได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้การออกแบบเว็บไซต์นั้นจำเป็นต้องมีโลโก้ ของเว็บไซต์เป็นอย่างยิ่งโดยต้องมีความสำคัญกับข้าวไรซ์เบอรี จะเป็นการดี ส่วนตำแหน่งที่ควรจะวางโลโก้ไว้คือตำแหน่งที่เป็นสีม่วงทั้งหมดนั่นเอง จะสังเกตได้ว่าจะเป็นส่วนที่อยู่ด้านบนของเว็บไซต์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้งานจำได้ และสะดุดตา เรื่องที่ต้องเตือนให้รู้กันก็คือ โลโก้ของเว็บไซต์เมื่อคลิกจะนำไปสู่หน้าแรกของเว็บไซต์เสมอ
Navigation
            เป็นส่วนที่จะนำผู้เข้าชมเว็บไซต์ไปยังส่วนต่างของเว็บไซต์ โดยสามารถทำให้อยู่ในแนวนอน หรือแนวตั้งก็ได้ www.riceberryphichit.com จะทำทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยแนวนอนจะนำไปสู่เนื้อหาหน้าอื่นของเว็บไซต์ ส่วนแนวตั้งจะนำไปสู่เนื้อหาย่อยในหน้านั้น ตำแหน่งที่ควรจะวาง navagation เอาไว้คือสีเขียวทั้งหมด ถ้าสังเกตดูจะพบว่าการวางตำแหน่งต้องพยายามให้อยู่ในส่วนด้านบนของเว็บไซต์ หรือจะพูดอีกอย่างคือส่วนที่เมื่อผู้ใช้เปิดมาก็ต้องเจอได้ทันที ไม่ควรวางไว้ในตำแหน่งที่ผู้ใช้จะต้องเลื่อนขึ้นลง ซ้ายขวา ทั้งนี้เพื่อคือการขายข้าวไรซ์เบอรี เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและรวดเร็ว
Content
            ส่วนเนื้อหาของเว็บไซต์ เป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด หากผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่ายผู้ใช้งานจะเปลี่ยนไปชมเว็บใหม่ทันที ตำแหน่งที่ควรวางเนื้อหาไว้คือสีแดง หรือตำแหน่งอื่นๆที่คิดว่าจะทำให้ผู้หาเจอได้โดยไม่ลำบาก หากสังเกตดูจะพบว่าเว็บไซต์บางเว็บไซต์มีโฆษณาที่มากจนเกินไป ทำให้ผู้ใช้งานหาเนื้อหาไม่เจอ นั่นถือเป็นการออกแบบที่ผิดพลาด แต่สำหรับเว็บไซต์นี้จะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับข้าวไรซ์เบอรี ซึ่งจะประกอบด้วยบทความ ข้อเขียน ต่างๆที่เกี่ยวกับข้าวไรซ์เบอรี โดยสามารถเชื่อมโยงกับการสั่งซื้อข้าวได้ง่าย และมีคีย์เวอร์ดต่างๆที่ทำให้ติดอันดับการค้นหาได้ง่าย
Footer
            คือส่วนล่างสุดของหน้าเว็บไซต์ ส่วนใหญ่จะเก็บลิงก์ต่างๆเอาไว้ แต่ควรเพิ่ม TAG สำคัญๆอย่างคำว่า ข้าวไรซ์เบอรี ประโยชน์ สุขภาพ การสั่งซื้อ เป็นต้น  หรือเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับเว็บไซต์เช่นลิขสิทธิ์ต่างๆ ถามว่าจำเป็นต้องมีหรือไม่ บอกได้ว่าจำเป็นอย่างยิ่ง footer จะเป็นตัวบอกผู้ชมว่าส่วนนี้คือล่างสุดของหน้าที่กำลังแสดงอยู่แล้วนะ ไม่มีเนื้อหาเพิ่มเติมแล้ว ทำไม่ต้องบอกเนื่องจากการแสดงเว็บไซต์ในบางครั้งนั้นหน้านั้นอาจโหลดได้ไม่หมด อาจแสดงได้แค่เนื้อหาภายใน หากเราออกแบบให้มี footer ตั้งแต่แรกผู้ใช้งานก็จะรู้ได้ทันทีว่าหน้าที่แสดงผลนี้อาจแสดงได้ไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่เห็น footer และยังมีผลต่อภาพลักษณ์ของเว็บไซต์โดยตรง เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเข้าไปดูเว็บไซต์ที่ไม่มี footer จะรู้สึกเหมือนกับว่าเว็บไซต์นั้นยังทำไม่เสร็จ หรือขาดอะไรบางอย่าง
Whitespace
            พื้นที่ว่างในเว็บไซต์ คนส่วนใหญ่มักไม่เห็นความสำคัญของการเว้นพื้นที่ว่างไว้ในเว็บไซต์ เรามักจะใส่ภาพหรือตัวหนังสือเข้าไปให้มากที่สุดเพราะคิดว่าจะทำให้เว็บดูสวยงามขึ้น หรือใช้พื้นที่มีมีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด หากเราออกแบบโดยไม่ได้คำนึงว่าต้องมีพื้นที่ว่างอยู่ในเว็บไซต์ จะทำให้เว็บของเรานั้นดูอึดอัดทันที การเว้นช่องว่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างตัวอักษร หรือช่องว่างระหว่างภาพ เนื้อหาต่างๆ นอกจากจะทำให้เว็บของเราดูสบายตาขึ้นแล้ว ยังทำให้เราสามารถกำหนดจุดที่จะให้ผู้ใช้งานเว็บรู้สึกสนใจในจุดนั้นได้อีกด้วย เช่นหากเราเว้นช่องว่างเอาไว้ตรงกลาง และนำภาพหรือตัวหนังสือเล็กๆไปวางไว้ ตรงจุดนั้นจะเป็นที่สนใจของผู้ใช้ทันที อีกอย่างหนึ่งคือสามารถใส่ หัวข้อที่เกี่ยวข้องกัน หรือ Related กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการเพิ่ม Link ภายในเว็บเอง
Building an Index
          เพิ่มการทำสารบัญเว็บไซต์ไว้ที่หน้าแรกเพื่อให้บอทรู้จักเว็บไซต์และสามารถไต่ไปได้ทุกหน้าทุกลิ้งค์ภายในเว็บซึ่งจะส่งผลต่อการค้นหาของ Serch Engine
Title (หัวเรื่อง)
จำหน่ายข้าวไรซ์เบอรี่เพื่อสุขภาพจากเกษตรโดยตรง ซื้อได้ในราคาถูกกว่าห้าง
Title นี้ต้องไม่เกิน 70 ตัวอักษร) อื่นเช่น   ข้าวไรซ์เบอร์รี่ Riceberry ข้าวกล้องอินทรีย์เพื่อคนรักสุขภาพ
Description (บทความ) มีตัวอักษรอย่างน้อย 150 ตัวอักษรต่อ 1 บทความ ไม่ซ้ำกับคนอื่นๆหากซ้ำต้องนำมาเรียบเรียงใหม่
เช่น "ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องอินทรีย์มีอุดมด้วยสารอาหารทางโภชนาการที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ"
และควรมีรูปภาพแทรกอยู่อย่างน้อย 1 รูป และควรมี Keyword อยู่ในบทความด้วย และรูปภาพต้องตั้งชื่อเป็น Keyword ด้วยเพื่อ SEO
ควรใส่ ตัวหนา, ตัวเอียงในคำที่เป็น keyword ในบทความ (Description)ด้วย
ส่วนประโยคยาวเช่น ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ โปรโมชั่นรับเทศกาลกินเจ โปรโมชั่น รับเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ อิ่มข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ *ซื้อข้าวกล้อง1ถุง ปกติ100บาท !!พิเศษ ซื้อข้าวกล้อง2-4ถุง ###ลดเหลือเพียงถุงละ90บาท !!พิเศษขึ้นไปอีก ซื้อข้าวกล้อง5ถุงขึ้นไป ###ลดเหลือเพียงถุงละ85บาท -ยังไม่รวมค่าขนส่ง สนใจติดต่อ. ซึ่งทำให้น่าสนใจและเป็นการเพิ่มคีเวอร์ดในหน้าแรกอีกด้วย
การกำหนด Keyword
               Main Keyword : ข้าวไรซ์เบอร์รี่.ข้าวไรซ์เบอรี่,ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่,ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่,ข้าวกล้องอินทรีย์,ข้าวกล้องอินทรีย์มีสารต้านอนุมูลอิสระ
               Niche Keyword :  ข้าวลืมผัว,ข้าวสังข์หยด,ข้าวหอมนิล จำหน่ายข้าวพันธุ์ไรเบอรี่,เมล็ดพันธุ์ข้าวไรซ์เบอรี่ ราคาถูก,จำหน่ายข้าวเพื่อสุขภาพ
การเพิ่มประสิทธิภาพของคำสำคัญหรือคำค้น (SEO-Keywords)
ตำแหน่งสำหรับการวาง Keywords:
            คำหลักหรือ Keyword ของเราจะถูกวางไว้บนหน้าเว็บเพจ www.riceberryphichit.com นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก Search engine มักจะให้ความสำคัญกับ การวางคำหลักในชื่อของหน้าหรือในแท็กหัวเรื่อง (Title) หรือการขีดเส้นใต้ และการเชื่อมโยง (Link) เพื่อเป็นการเน้นย้ำและ เพิ่มความเกี่ยวข้องมากขึ้นในเนื้อหาเว็บไซต์นั้นๆ
 การหาคำสำคัญ (Finding Keywords)
มีหลายวิธีที่จะหาคำหลักสำหรับเว็บไซต์ www.riceberryphichit.com ตัวอย่างเช่น
·       คำที่คนจะค้นหาสำหรับการค้นหาสินค้าข้าวไรซ์เบอรี่
·       สิ่งลูกค้าที่คาดหวังจาก www.riceberryphichit.com  
·       แท็กคำที่ใช้ในเว็บไซต์ของคู่แข่งที่เกี่ยวข้องกับข้าวไรซ์เบอรรี่
·       คำแนะนำ คำค้นยอดนิยมจาก "search engine" ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับข้าวไรซ์เบอรี่
·       ใช้เครื่องมือออนไลน์จาก Google เครื่องมือคำหลัก ได้แก่ www.google.com/trends
·       โดยการวิเคราะห์เว็บไซต์ www.riceberryphichit.com และหาคำหลักที่เหมาะสม กล่าวโดยสรุปคำหลักหรือ Keyword สามารถใช้ได้ในบริเวณดังนี้
  คำหลักใน  <title>
  คำหลักใน  <meta name="description">
  คำหลักใน  <meta name="keyword">  
  คำหลักใน <h1> หรือ headline อื่นๆ
  คำหลักใน <a href> สร้าง link เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บเพจ เช่น
  <a href="http:// www.riceberryphichit.com ">keywords</a>
 คำหลักอยู่ใน ส่วนเนื้อหาของเว็บเพจ (Body) www.riceberryphichit.com  
  ตำหลักอยู่ใน คำอธิบายรูปภาพ หรือ Alt
 คำหลักที่อยู่ใน URL ของเว็บไซต์ www.riceberryphichit.com เช่น 
http:// www.riceberryphichit.com /riceberry.htm.         
การปรับแต่ง Meta TAG สำหรับ SEO
Mata tag จะแสดงที่ส่วนบนของเว็บไซต์  riceberry เมื่อเรา view source ของเว็บไซต์ riceberryะพบหน้าตาของ Meta tag มีรูปแบบดังนี้
<meta name="คำหลัก หรือ keywords" content="คำหลักที่ 1 KEYWORD1 คำหลักที่ 2  KEYWORD2 วลีที่มีคำหลัก KEYPHRASE1 และอื่น...ซึ่งจำนวนไม่เกิน 30-40 คำ"> ซึ่งในที่นี้คือข้าวไรซ์เบอรี่
<meta name="description" content="คำอธิบายที่ชัดเจน และจะต้องมีคำหลัก หรือ Keyword ข้าวไรซ์เบอรี่ ปะปนอยู่ในคำอธิบายนี้ ประมาณ 150 ตัวอักษร">
 เคล็ดลับสำหรับ Meta tag :
มีเคล็ดลับที่สำคัญบางอย่างสำหรับการใช้คำอธิบายสำหรับ  meta tag คือ:
พยายามใช้คำหลัก (Keyword) ข้าวไรซ์เบอรี่ ในคำอธิบาย (Meta tag description)
 พยายามที่จะไม่ทำซ้ำคำมากเกินไปบ่อยนัก 
ไม่ควรมีเกินกว่า 150 ตัวอักษรในคำอธิบาย meta tag ของหน้าเว็บเเพจ
 ใช้แท็กคำอธิบาย meta ที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละหน้าเว็บเพจ (อย่าใช้ คำอธิบาย Meta เหมือนกันทุกหน้า) เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกค้นหา
4.ระบุแนวในการทำ SEO ให้เว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com ให้ประสบผลสำเร็จ
1.การใส่ title , keyword และ description ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ในแต่ละหน้า ห้ามมี title, keyword และ description ที่ซ้ำกันเด็ดขาด เพราะ google จะมองเป็น Duplicate Content
2.การใส่เนื้อหาที่มีส่วนของคำในคีย์เวิร์ด แล้วเน้นตัวหนา ให้ google รู้ว่าเป็นคำสำคัญ ด้วย tag head1 เช่น <H1> ข้าวไรซ์เบอรี่ราคาถูก ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของไทย </H1>
3.หลีกเลี่ยงการออกแบบเว็บไซต์ด้วย Flash เยอะ เพราะ search engine บางตัวไม่อ่านไฟล์ flash ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้ flash มีได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่าทำทั้งเว็บ เพราะ Search engine อ่านได้แต่ตัวอักษรหรือ html ปกติเท่านั้น (อาจมี search engine บางตัวบอกว่าอ่าน flash ได้แต่น้อยมาก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง และใช้เฉพาะที่จำเป็นเพียงบางจุดเพื่อให้โดดเด่นเท่านั้น ส่วนรูปภาพทุกรูปควรตั้งชื่อเป็นคีเวอร์ดด้วยเช่นกัน
4.หลีกเลี่ยงการออกแบบเว็บไซต์โดยการใช้เฟรม < iframe >การใช้เฟรม ก็เป็นการออกแบบเว็บไซต์อีกแบบที่ Search Engine อ่านข้อมูลในเว็บไซต์เรา แล้วไม่เจอ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้เฟรม โดยเราควรตั้งเป็น Topic หัวข้อ หรือเมนูต่างแทนเช่นพันธ์ข้าวไรซ์เบอรี่ การปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ การหุงข้าวไรซ์เบอรี่จะดีกว่า
5. ใช้ keyword ที่บริเวณ ลิงค์เชื่อมโยงมาตรฐาน (Standard Text Link)
            คือการเชื่อมโยงในลักษณะ การใช้ Text link เป็นตัวเชื่อมโยง แล้วแทรก Keyword ผสมเข้าไปด้วยตัวอย่าง การเขียนโค๊ดคำสั่ง html ในการทำลิ้งค์ <a> href=”http://www.ข้าวไรซ์เบอรี่ถูก.com/” ข้าวไรซ์เบอรี่ราคาถูก </a>
6. ควรตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ และใส่คำอธิบายให้กับภาพทุกภาพบนเว็บไซต์ เพราะระบบของ google ไม่อ่านภาพแต่จะอ่านชื่อรูปภาพและคำอธิบายภาพแทน เช่น รูปโลโก้เว็บไม่ควรปล่อยให้เสียโอกาส ควรตั้งชื่อให้มีส่วนของ keyword ด้วย เช่น logo-Riceberry.jpg (เพราะคีย์เวิร์ดเรามีคำว่า riceberry อยู่) และเน้นย้ำรูปภาพด้วย keywords ซ้ำ ด้วย tag Alt ตัวอย่างการใช้งาน : <img src=”http://www.riceberryphit.com/images/logo-riceberry.jpg” alt=”ข้าวไรซ์เบอรี่ ราคาถูก หอมอร่อยเพื่อสุขภาพ” />

7. จด Domain name ด้วย Keyword
(Domain name registation) การใช้ Keyword หลักของเว็บในการจด Domain name นั้น หากทำได้ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะระบบ google จะมองที่ domain เป็นสำคัญ เช่น:
ชื่อโดเมนภาษาอังกฤษ คือ www.riceberryphichit.com และชื่อโดเมนภาษาไทย คือ ข้าวไรซ์เบอรี่พิจิตร.com
http:// www.riceberryphichit.com ซึ่งตรงกับคีย์เวิร์ด คำว่า riceberry
http://www.ข้าวไรซ์เบอรี่พิจิตร.com ซึ่งตรงกับคีย์เวิร์ด คำว่า ข้าวไรซ์เบอรี่
 ถ้ามีคนที่ต้องการซื้อข้าวไรซ์เบอรี่ ค้นหาด้วยคำว่า ข้าวไรซ์เบอรี่
riceberryใน google เว็บเหล่านี้ก็จะถูก google นำมาแสดงให้ผู้ค้นหาเห็นแน่นอน เพียงแต่จะอยู่หน้าแรกหรือไม่นั้น ขึ้นกับเว็บได้ทำตามหลัก SEO ได้ครบถ้วนแค่ไหนเท่านั้น และเราท่านสามารถจดโดเมนเป็นชื่อ ภาษาไทย หรือ ชื่อภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ ขึ้นกับคีย์เวิร์ดที่ต้องการใช้ในที่นี้คือคำว่า ข้าวไรซ์เบอรี่ Riceberry
8. การเพิ่มลิ้งก์เข้าไปในฐานข้อมูลของ Google โดยตรง โดยคลิ๊กเข้าไปที่http://www.google.com/addurl/ เพื่อ add ชื่อเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ google เข้าไปเก็บข้อมูลและเนื้อหาของเราและใส่เว็บไซต์ของเราลงไปในฐานข้อมูลของ google
9. สมัครใช้ google analytics กับตัว google เองเลยให้ google คอยเก็บสถิติเว็บไซต์ให้เรา โดยเข้าไปสมัครได้ที่http://www.google.com/intl/th/analytics/sign_up.html
10. แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ การแลกลิงค์ (Link Exchange) โปรดติดต่อขอให้เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา ส่ง link มาให้เราแปะที่เว็บ www.Riceberryphichit.com เรา และทางเว็บไซต์ของเราเองก็ส่ง link กลับไปให้ทางเว็บไซต์ของเขาแปะที่เว็บของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อมีผู้เข้าชมคลิ๊กลิงค์มาที่เว็บเราเยอะๆ google จะให้คะแนนความนิยม (PR) กับเรา
11. ทำ Site Map (ไซต์แมบ) ให้กับเว็บไซต์ www.Riceberryphichit.com การทำ Site Map นี้ จะช่วยให้ เมื่อระบบของ google วิ่งมาในเว็บไซต์ www.Riceberryphichit.com เราแล้ว รู้ว่า ควรจะไปทางไหน เหมือนกับเป็นแผนที่นำทาง พา google ไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เราให้ครบทุกจุด โดยเราสามารถใช้บริการรับทำ site map ฟรีได้ที่ http://www.xml-sitemaps.com/
เมื่อทำเสร็จแล้วจะได้ไฟล์ชื่อ sitemap.xml แล้วทำการอัพโหลดไปไว้ที่ public_html ของเว็บท่าน แล้วล็อกอินเข้า googlewebmaster tools แล้วไปกด submit sitemap
12. ทำไฟล์ robots.txt แล้วอัพโหลดไปไว้ public_html เปิด notepad ขึ้นมา แล้วพิมพ์ข้อความดังนี้
User-agent: *
Allow: /
เสร็จแล้วกด save ไฟล์เป็นชื่อ robots.txt แล้วอัพโหลดไปไว้ใน public_html
13. การทำ signature (ซิกเนเจอร์) หรือลายเซ็นต์แปะไว้ด้านล่างของกระทู้ที่เราตั้งหรือตอบตามเว็บบอร์ดต่างๆ เช่นเว็บบอร์ดสุขภาพการทำ Signature นั้น เป็นลักษณะของการทำ One way link ซึ่ง google จะชอบมาก โดยเราสามารถทำ signature ได้ง่ายๆ โดยอาจทำใน e-mail ของเราเอง เพราะเมล์บางฉบับที่เราส่ง fwd ต่อๆ กันไปนั้น อาจจะมีคนสนใจแล้วคลิ๊กเข้ามาที่เว็บไซต์เรา หรือ อาจจะทำ signature ตาม web board โดยเลือกสมัครและโพสต์ในเว็บดังๆ ที่มี PR สูง เช่น พวก sanook หรือ pantip หรือเว็บบอร์ดที่เราเข้าอ่านประจำ เช่น เราชอบเข้า thaiseoboard บ่อยๆ เราก็เข้าไปโพสต์ไว้ที่ thaiseoboard เมื่อเราไปโพสต์ตามกระทู้ต่างๆ และมีคนเห็น ลายเซ็นต์ของเรา แล้วสนใจคลิ๊กเข้ามา ก็เป็นการเพิ่ม traffic ให้เว็บของเรา และคะแนนความนิยม (PR) ของเว็บเราก็เพิ่มขึ้น (แม้บางเว็บบอร์ดมีการตั้งค่าไม่ให้ bot วิ่งตามลิ้งค์ เราก็อาจไม่ได้ผลประโยชน์การทางค้นหาใน google เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังได้โฆษณาสินค้าและบริการของเรา เราได้โฆษณาเว็บไซต์เราให้เป็นที่รู้จักของคนบนโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งคนที่เข้ามาอ่านในเว็บบอร์ดนั้นๆ หรือค้นลิ้งค์เจอตาม google ก็จะได้มาเจอกับคำโฆษณาของเรา หากเขาสนใจในสินค้าและเว็บของเรา คนเหล่านั้นก็จะคลิ๊กตามลิ้งค์เข้ามาซื้อสินค้าคือข้าวไรซ์เบอรี่กับเรา เป็นการเพิ่มช่องทางขายได้อีกทาง) ตัวอย่างการใช้ signature ในเว็บบอร์ดตามภาพด้านล่างนี้
14. การเขียนบทความในเว็บไซต์บ่อยๆ เพื่อให้เป็นเว็บไซต์ที่ google มองเห็นว่าเป็นเว็บที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะได้เข้ามาเก็บข้อมูลบ่อยๆ ในกรณีนี้เราขายข้าวไรซ์เบอรี่ ดังนั้นต้องเขียนบทความเกี่ยวกับข้าวไรซ์เบอรี่ หรือบทความแนะนำการเลือกซื้อข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นต้น ให้คนได้อ่านบ่อยๆ ค่ะ เขียนได้ทุกวันยิ่งดี เพราะเว็บที่มีการปรับปรุงบ่อยๆ จะทำให้ bot ของ google วิ่งเข้ามาเก็บข้อมูลทุกวัน และก็จะมีคีย์เวิร์ดข้าวไรซ์เบอรี่ จากบทความไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลค้นหาของ google เยอะแยะเลย ต่อไปคนค้นหาอะไรที่เกี่ยวกับข้าวไรซ์เบอรี่ google ก็จะเอาเว็บไซต์ท่านขึ้นมาแสดง
15. การทำ vdo แปะเว็บที่มี pr สูง (พีอาร์ หรือ เพจแร้ง : Page Rank คือลำดับคะแนนที่ Google ประเมินให้กับคุณภาพของเนื้อหาในหน้าเว็บเพจแต่ละหน้าที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์นั้น ๆ) เพื่อเอา backlink pr สูง มาที่เว็บไซต์ของของเรา เช่น ทำวีดีโอข้าวไรซ์เบอรี่ ต่างๆ แปะที่ youtube หรือ facebook เราก็จะได้ backlink ลิ้งค์กลับจาก youtube และ facebook มาที่เว็บไซต์ แล้วเว็บไซต์ www.Riceberryphichit.com ก็จะได้พีอาร์(pr) เพิ่มขึ้น
16.เพิ่ม backlink ให้กับเวปไซต์นอกจากการสร้าง backlink จากการ Submit เวปไซต์กับ Social Bookmark หรือ Pligg แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่น่าสนใจและควรทำดังนี้  
16.1 สมัครเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดหรือ Forum และศึกษากฎระเบียบของเขาให้ชัดเจนว่ากติกาเป็นอย่างไร
จากนั้นให้ใส่ URL www.RiceberryPhichit.Com ของคุณใน Profile ใส่ลิงค์ในลายเซ็นใน forum (ควรใส่แบบ anchor text)
โปรโมทลิงค์ในส่วนที่อนุญาตให้โปรโมทได้ และตอบกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวบนเวบไซด์
16.2  ไป Comment ในเว็บไซต์ดัง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องข้าวไรซ์เบอรี่ที่เราเขียน แต่อย่า spam ในเว็บคนอื่น และอย่าวางลิงค์เวบไซด์ www.RiceberryPhichit.Com ของเราอย่างเดียว
16.3 ไปเข้าร่วมกับ Blog Directory 
16.4 ใช้ twitter โดย ทุกครั้งที่เขียนบทความในเว็บ www.RiceberryPhichit.Com ให้ tweet และใส่ URL www.RiceberryPhichit.Com ในบทความ + Hashtag ที่เป็น keyword ของเว็บไซด์ www.RiceberryPhichit.Com  ทุกครั้งที่เขียนบทความ 
16.5 .ใช้งาน http://identi.ca โดย Login ด้วย Twitter id และ ถ้าทำได้ตาม 16.1 –16.5 จะได้ backlink มาเพิ่มอีกมาก
17. ใช้ Social Network ในการโปรโมท และเพิ่ม Traffic ให้เวปไซด์ www.RiceberryPhichit.Com
17.1 สมัครใช้งาน facebook แล้วทำการ update ข้อมูลส่วนตัวและโปรโมทเวบไซด์ www.RiceberryPhichit.Com เพื่อเพิ่ม Traffic  เช่น  www.facebook.com/RicebeeryPhichit.Com
17.2 สมัครใช้งาน MySpace ,Twitter IG และใช้โปรโมทคล้าย ๆ กับ 17.1
18. เพิ่มคุณภาพเนื้อหาในเวบไซด์
            การทำ SEO ให้ความสำคัญกับเรื่อง Link ก็จริง แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาในเวบไซด์ www.RiceberryPhichit.Com นั้นถือว่าสำคัญที่สุด ถ้าคนเข้ามาพบเวบไซด์ www.RiceberryPhichit.Com มาก ๆ แต่เนื้อหาในเวบไซด์ www.RiceberryPhichit.Com  ไม่น่าสนใจหรือไม่แตกต่างจากที่อื่น ๆ เลย ก็คงจะยากที่เขาจะกลับมาอีก ดังนั้นต้องเขียนเนื้อหาที่เจาะลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าจะเขียนตามกระแส
19 การเพิ่มเนื้อหาในออนไลน์
            เช่น Youtube.Com ซึ่งเน้นเกี่ยวกับข้าวไรซ์เบอรี่ การสัมภาษณ์ชาวนาคนปลูกข้าว ผู้ให้การสนับสนุน เพื่อให้ ผู้ชมได้เข้ายังเว็บไซด์ www.RiceberryPhichit.Com จากช่องทาง Youtube 
 20. สร้าง backlink ที่แข็งแกร่ง
            ปัจจุบันมีวิธีการสร้าง Backlink ที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้ผลมากกว่า backlink แบบปกติหลายเท่า มีความยืดหยุ่นสามารถดัดแปลงได้หลากหลายรูปแบบ เรียก Backlink ชนิดนี้ว่า Link Wheel  ซึ่งเป็นรูปแบบการทำ Backlink ที่ดี
21. การศึกษาคู่แข่ง
            โดยใช้ Google Keyword Tools External ในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก่อน
หลังจากนั้นก็ใช้ Keyword Trends ใน Truehits เพื่อช่วยดูข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเหมาะกับเว็บภาษาไทย เมื่อ ได้คีย์เวิร์ดแล้ว ก็ใช้ Google ค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ แล้วดูว่า มีเว็บไหนเป็นคู่แข่งบ้าง เขาทำ SEO หรือไม่ (สังเกตได้ง่ายๆ ว่าเขามีการปรับแต่ง Title, Keyword, Description หรือไม่ โดยการเปิดเว็บเขาแล้ว View Source ดูก่อน)   
สิ่งต่างเหล่านี้เป็นเทคนิคและแนวทางในการทำ SEO เว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com
5.ระบุเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยเว็บไซต์
การเพิ่มความปลอดภัยและน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com เป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากความ น่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำการตลาด (E-Marketing) หรือการค้า (E-Commerce) บนเว็บไซต์ เพราะ การสร้างความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่น จะมีส่วนช่วยให้การตัดสินใจ ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ได้ดีมากขึ้น ดังนั้นการสร้างความน่าเชื่อให้กับเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมีความละเอียดมาก เพราะการสื่อสารระหว่าง www.RiceberryPhichit.Com  กับลูกค้าจะมีเพียงแค่หน้าเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ที่จะสามารถใช้เป็นช่องทางในการพูดคุยกับเค้าเท่านั้น ซึ่งมีวิธี ที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  น่าเชื่อถือมากขึ้นด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้ 
1.      มีชื่อโดเมนเนม www.RiceberryPhichit.Com  เป็นของเราเอง
การมีชื่อเว็บไซต์ภายใต้ชื่อโดเมนเป็นของเราเอง จะ สร้างความน่าเชื่อถือ ได้มากกว่า การเลือกที่จะไปใช้โดเมนที่ติดอยู่กับคนอื่น หรือใช้เว็บไซต์ฟรีที่อื่นๆ เช่น หากคุณจะต้องซื้อสินค้าระหว่างเว็บไซต์ www.ABC.com กับเว็บไซต์ www.geocities.com/ABC จะเลือกซื้อสินค้ากับเว็บไซต์ไหน? แน่นอน เว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็นของตนเองจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า และยิ่งเรามีโดเมนเนมที่เป็น www.RiceberryPhichit.Com  ของเราเองจะช่วยทำให้เว็บไซต์เราดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะผู้ที่จะสามารถจดโดเมนเนมในรูปแบบ www.ABC.com ได้ จะช่วยยืนยันความมีน่าเชื่อถือและมีตัวตนของเราได้ดีมากๆ
2.      หลีกเลี่ยงการใช้เว็บ Hosting ฟรี.!
       คงจะดูไม่ดีแน่ๆ หากลูกค้าที่ต้องการสั่งซื้อข้าวเข้าไปที่เว็บแล้ว พบว่าเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของคุณใช้บริการฝากข้อมูลในเว็บไซต์ที่ให้บริการ พื้นที่ฟรี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ให้บริการเหล่านี้จะมีการนำโฆษณาสินค้าต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของเราไปแสดงที่หน้าเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  หรือบางครั้งก็จะมีข้อความโฆษณาแสดงขึ้นมา ซึ่งความลำคาญให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ รวมถึงยังลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเราลงอีกด้วย
3.      การออกแบบเว็บไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ
            หน้าตาเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ก็เปรียบเสมือนเหมือนกับหน้าร้านค้าของเราซึ่งหากหน้าร้านของเราซอมซ่อ ดู ไม่ดี ก็คงจะไม่มีใครเดินเข้ามาซื้อข้าวไรซ์เบอรี่ที่หน้าร้านค้าของเราแน่นอน ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ถูกหลัก ใช้งานง่าย สวยงาม ก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อของภายในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของ เราได้มากเลยทีเดีย
 4.      การนำเสนอข้อมูลภายในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ที่ใหม่ สดเสมอ
            มีหลายๆ องค์กร หรือหลายๆ เว็บไซต์ ไม่ได้อัพเดท หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลเว็บไซต์มาหลายปีแล้ว ปล่อยให้ข้อมุลเก่า แก่แช่อยุ่อย่างนั้น บางครั้งลูกค้าเข้ามาที่เว็บไซต์ ก็มักจะเกิดลังเลใจว่า เว็บไซต์นี้ยังเปิดบริการขายอยู่รึเปล่า ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือไปในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว็บไซต์ที่ต้องการขายสินค้า ดังนั้นคุณไม่ควรปล่อยให้หน้าเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเรามีข้อมูลเก่า และไม่อัพเดท เราควรจะหมั่นเปลี่ยนแปลงข้อมูลเว็บไซต์ให้ "ใหม่-สดเสมอ" ยกตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของคุณมีสินค้าข้าวไรซ์เบอรี่ หรือข้าวใหม่ๆ เข้ามา ก็ควรจะนำมาลงไว้ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ เพื่อสร้างแรงดึงดูดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเราอยู่เสมอ และยังเป็นการช่วยยืนยันว่า เว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเรา มีคนคอยดูแลอยู่ และมีตัวตนแน่นอน
5.      แสดงที่อยู่ข้อมูลจริง ที่สามารถติดต่อได้ง่าย
            การให้ข้อมูลที่อยู่ ที่สามารถติดต่อได้ง่าย อย่างครบถ้วน เช่น ชื่อ  ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แฟกซ์ หรือแผนที่ของร้านค้าเรา ว่าตั้งอยู่ที่ไหน จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าคุณได้มาก เพราะลูกค้าจะเข้าใจได้ทันทีว่า หากเค้ามีปัญหา เค้าจะสามารถติดต่อเราได้แน่นอน นอกเหนือจากการติดต่อทางเว็บไซต์ ซึ่งบางเว็บไซต์ ไม่ยอมแสดงข้อมูลต่างๆเหล่านี้ มีแค่ข้อมุล E-mail หรือ เบอร์มือถือเท่านั้น ซึ่งข้อมูลแค่นี้ ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้เท่าไร


6.      การอ้างอิงถึงผู้ที่เคยใช้บริการไปแล้ว (Testimonials)
            การที่เราจะพยายามอธิบายว่าเราบริการดี น่าเชื่อถือเท่าไร อาจจะไม่ดีเท่าการที่ให้ "ลูกค้าที่เคยใช้บริการของเรา" มาพูดถึงและแนะนำถึงการใช้บริการของเราที่ผ่านมาแล้ว ว่าดีแค่ไหน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ดีมาก และรูปแบบของการอ้างอิงลูกค้านั้น เราควรจะเลือกเอา คำพูดหรือประโยค ที่ลูกค้าพูดถึงเราในมุมที่ดี และช่วยกระตุ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่มาอ่านได้ และควรอ้างอิงถึง ข้อมูลของผู้ที่เรานำมาอ้างอิง ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล หรือ บริษัท และตำแหน่งงานของเค้า และยิ่ง หากเป็นดาราดัง หรือ เป็นคนที่หลายๆ คนรู้จัก ก็จะยิ่งช่วยทำให้ลูกค้า ที่เข้ามาในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเราจดจำและสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับเว็บไซต์ของเราได้มากยิ่งขึ้น
7.      การนำผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือให้บริการ ช่วยยืนยันความมีตัวตนและน่าเชื่อถือของเว็บ www.RiceberryPhichit.Com    หากคุณเป็น สมาชิกของ กลุ่มองค์กร สมาคม ชมรม หรือหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สมาคมการค้า, ชมรมสินค้า OTOP ให้คุณนำข้อมูลต่างๆ ที่สามารถช่วยยืนการเป็นสมาชิกขององค์กรเหล่านั้น เช่น ใบประกาศนียบัตร หมายเลขสมาชิก ฯลฯ มาลงไว้ในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  
หรือ เรา จะเลือกไปสมัครกับผู้ให้บริการ หรือ องค์กรที่จะทำหน้าที่เข้ามารับรองตัวตนของเราในโลกอินเทอร์เน็ต ได้แก่
ของประเทศไทย (Domestic)
การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ของ กรมพัฒนาธุรกิจ (www.DBD.go.th) กระทรวงพาณิชย์.
ของต่างประเทศ (International)
การขึ้นทะเบียนกับทาง เว็บไซต์ www.Truete.com (มีค่าใช้จ่าย)
การลงทะเบียนกับทาง https://www.bbb.org (มีค่าใช้จ่าย)
ไปซื้อ SSL มาติดไว้ที่เว็บไซต์ก็ช่วยได้  เช่นของ VeriSign
ซึ่งก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธุรกิจของเราได้มากเลยทีเดียว


8.      การนำรางวัล หรือข่าวสารที่เกี่ยวกับเว็บ www.RiceberryPhichit.Com  มาแสดง
            หากเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเราเคยได้รับรางวัลจากองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ เช่นการประกวด หรือการให้รางวัลอื่นๆ  หรืออาจจะเคยมีข่าวสาร (Press Release) ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรหรือธุรกิจของเรา ตามสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ แม็กกาซีน วิทยุ หรือ โทรทัศน์  คุณควรนำข้อมูลเหล่านั้น มาแสดงไว้ที่หน้าเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเราเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และมั่นใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาที่เว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  
9.      อ้างอิงถึงระยะเวลาที่เราได้เปิดให้บริการมาแล้ว
             หากธุรกิจหรือเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  ของเรา ยิ่งเปิดมานานเท่าไรจะยิ่งดี เพราะนั้นหมายถึงความน่าเชื่อถือ และความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำมา ที่เรามีก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการยืนยัน ระยะเวลาที่เราเปิดให้บริการมา จะมีส่วนช่วยการันตีตัวเราเองได้เช่นกัน เพราะส่วนใหญ่เว็บไซต์ที่โกงหรือ ไม่น่าเชื่อถือจะไม่สามารถเปิดให้บริการมานานๆ ได้
10.  ภายในเว็บไซต์ควรจะสะกดอักษรที่ถูกต้อง
            การสะกดตัวอักษรหรือการใช้ภาษาภายในในเว็บไซต์ ควรจะมีความถูกต้อง สวยงาม น่าอ่าน และยิ่งถ้าภาษาอังกฤษ การใช้แกรมม่า หรือคำศัพท์ ควรจะถูกต้อง ตามหลักการ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเรา ที่เข้ามาในเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  
 การสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มเติมสำหรับเว็บไซต์ E-Commerce
1.      เราควรมีวิธีการสั่งสินค้าที่หลากหลายวิธีนอกเหนือการสั่งผ่านเว็บ เช่น ผ่านโทรศัพท์ แฟกซ์ อีเมล์ หรือเมล์ปกติ
2.      เปิดรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต นอกเหนือจากวิธีอื่นๆ เพราะการชำระผ่านบัตรเครดิต แสดงถึงความมีตัวตนของเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com  กับธนาคารผู้ให้บริการอยู่แล้ว
3.      ใช้การจ่ายบัตรเครดิตผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยวิธีที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ เช่นการใช้การเข้ารหัส SSL

1.การใช้ SSL
            SSL คืออะไร SSL Certificates หรือเรียกสั้นๆว่า SSL ย่อมาจาก Secure Socket Layer คือ เครื่องหมายรับรองความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกหรืออนุมัติโดย CA (Certificate Authority) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการออกใบรับรอง SSL อยู่หลากหลายแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆ เช่น VeriSign, Thawte , Comodo , Geotrust เป็นต้น
            เครื่องหมายเหล่านี้ จะเป็นการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย SSL ซึ่ง CA เป็นผู้อนุมัติ SSL Certificate ให้แก่เว็บไซต์ เพื่อยืนยันการมีตัวตนของเจ้าของเว็บไซต์ www.RiceberryPhichit.Com และรับรองความปลอดภัยในการเข้ารหัส-ถอดรหัสข้อมูลด้วยระบบ SSL ผ่านการเรียกโปรโตคอล https:// บริการ SSL Certificates นี้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานในการรับ ? ส่งข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่านต่าง ๆ และโดยเฉพาะเว็บไซต์ทึ่มีระบบ Ecommerce Online (ขายของออนไลน์) หรือเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ออนไลน์อยู่บนอินเตอร์เน็ตสูงมากๆ เป็นต้น
ประเภทของ SSL
            สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้บริการ SSL จะเรียกผ่าน URL บน Browser ต่างๆ ด้วย https:// และมีรูปกุญแจ แสดงอยู่ในส่วนของ Address Bar ซึ่งการแสดงข้อมูลการจด SSL อาจจะแตกต่างกันไปตาม Brand และตามลักษณะของเทคโนโลยีของ SSL ที่ใช้บริการอยู่ ระบบ SSL ที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ
Dedicated SSL คือ รูปแบบ SSL ที่นิยมใช้งาน และมีความน่าเชื่อถือสูงสุด เพราะมีขั้นตอนการตรวจสอบตัวตนขององค์กรผู้ขอใบรับรอง SSL ก่อนจะได้รับการอนุมัติใบรับรอง SSL โดย CA (Certificate Authority) จากทางต่างประเทศ สำหรับใบรับรอง SSL Certificate ประเภทนี้ จะต้องเสียค่าบริการซื้อใบรับรอง SSL Certificate จาก ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาติและการรับรองจาก CA โดยตรง ซึ่งจะต้องติดตั้งบน Dedicated IP Address และระบุให้ชัดเจนว่า ชื่อเว็บไซต์ เป็นอะไร เช่น https://www.domain.com หรือ https://domain.com หรือ https://secure.domain.com ซึ่งทั้ง 3 URL จะถือว่าเป็นคนละชื่อกัน หากต้องการเรียกใช้ https ทั้ง 3 ชื่อจะต้องซื้อ SSL Certificate ทั้ง 3 รายการ หากมีความต้องการใช้ระบบ SSL กับโดเมนจำนวนมาก อาจเลือกใช้ตามเทคโนโลยีของ SSL ที่รองรับการใช้งานดังกล่าวได้
SSL.IN.TH เป็นตัวแทนจำหน่ายใบรับรอง SSL ประเภท Dedicated SSL ที่ได้รับการอนุมัติใบรับรอง SSL โดย CA (Certificate Authority) จากทางต่างประเทศ แบรนด์หลักทั้งหมด 7 แบรนด์ที่มีตัวแทนจำหน่ายในไทย คือ VeriSign, Thawte, Geotrust, RapidSSL, Instant Comodo, Digicert SSL และ Godaddy SSL
Shared SSL คือ รูปแบบการติดตั้ง SSL ที่นิยมใช้ในกลุ่มของผู้ให้บริการ Web hosting เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของลูกค้า และเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการซื้อ SSL Certificate เอง โดยสามารถเรียกผ่าน URL ดังตัวอย่างนี้ https://secure.yourHostingProvider.tld/~username ข้อจำกัดของการใช้ Shared SSL คือ จะไม่สามารถเรียก https:// ผ่านชื่อโดเมนเนมของลูกค้าเองได้
Self-Signed Certificate เป็นลักษณะการติดตั้ง SSL โดยไม่ต้องเสียค่าบริการสั่งซื้อ SSL certificate จาก CA มาติดตั้งเช่นเดียวกับระบบ Shared SSL แต่ผู้ดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์จะทำการสร้าง SSL Certificate file ขึ้นมาเอง โดยไม่ผ่านการรับรองของ CA เมื่อมีการเรียกเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านระบบ Browser ต่างๆ จะพบข้อความเตือนก่อนเข้าสู่เว็บไซต์ในลักษณะ Security Warning ขึ้นมา ให้ผู้เข้าเว็บไซต์ Click Accept ยืนยันตอบรับ Certificate ดังกล่าวก่อนเข้าสู่เว็บไซต์นั้นๆ ข้อจำกัดของการใช้ Self-Signed Certificate คือ ผู้พัฒนาระบบ Browser เช่น IE , FireFox , Opera , Google Chrome ไม่ให้ความเชื่อถือ เพราะไม่ได้รับการรับรอง SSL จาก CA นั่นเอง จึงมีการแสดงข้อความแจ้งเตือน ก่อนเข้าสู่เว็บไซต์ที่มีการใช้ Self-Signed Certificate ทุกครั้ง
ทำไมเราต้องใช้ SSL Certificate
สาเหตุของการเลือกใช้ SSL Certificate หรือเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกหรืออนุมัติโดย CA (Certificate Authority) โดยหลักๆ มี 3 ด้าน คือ
            ด้านความปลอดภัย คือ การให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลที่ต้องการรับ ? ส่งบนระบบเซิร์ฟเวอร์ ทั้งในรูปแบบอินเตอร์เน็ต และระบบอินทราเน็ตว่าต้องการความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน หากเป็นข้อมูลสำคัญก็ควร ส่งผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ ที่มีการติดตั้ง SSL Certificate เพื่อป้องกันช่องโหว่ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ เช่น พวก Hacker ที่คอยจ้องขโมยข้อมูลสำคัญๆบนระบบ Internet
            ด้านความน่าเชื่อถือ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการชำระเงินออนไลน์ของลูกค้า ให้กับเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเว็บที่มีการทำธุรกรรมออนไลน์เกี่ยวกับระบบ Ecommerce Online , Booking Online ที่ต้องมีการกรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่านต่าง ๆ และลูกค้าสามารถแสดงเครื่องหมาย Trust Site Seal ของผู้ออกใบรับรอง SSL บนเว็บไซต์ เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
ด้านการใช้งาน ต้องการระบบ SSL ที่ผ่านการรับรองของ CA (Certificate Authority) เพื่อช่วยลดปัญหาBrowser ขึ้นข้อความเตือน Security Warning ขึ้นมา เมื่อมีการเรียกเข้าสู่เว็บไซต์ ทำให้ผู้เข้าเว็บไซต์ต้อง Click Accept ยืนยันตอบรับ Certificate ดังกล่าวก่อนเข้าสู่เว็บไซต์นั้น ๆ สาเหตุจากการที่ผู้ดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์ ทำการสร้าง SSL ขึ้นมาติดตั้งเอง หรือที่เรียกว่า SSL Self-Signed Certificate
            สรุปคือ จากสถานการณ์ในปัจจุบันระบบอินเตอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของการติดต่อสื่อสารมากขึ้น และยังเป็นสื่อหลักในการทำธุรกิจการค้า การทำธุรกรรมต่าง ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจการค้า หรือธุรกิจออนไลน์ เพราะมีความสะดวกและรวดเร็ว แต่พบว่าช่องทางการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะการใช้งาน การรับ-ส่งข้อมูล สำคัญต่างๆ ที่ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อาจเกิดช่องโหว่ให้กับกลุ่มพวก Hacker ที่คอยจ้องขโมยข้อมูลสำคัญๆบนระบบอินเตอร์เน็ตได้ หากเราไม่มีการจัดเก็บข้อมูลสำคัญที่ดีพอ
            การเข้ารหัสข้อมูลผ่าน SSL จึงเป็นส่วนสำคัญ ที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจในความปลอดภัย ให้ทั้งเจ้าของเว็บไซต์ และผู้ใช้งานเว็บไซต์ด้วย ซึ่งระบบ SSL จะทำให้ การรับ ส่งข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต Password รหัสผ่านต่าง ๆ ไม่ถูกเปิดเผย หรือถูกขโมยได้ สร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน
            บริการนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์ Ecommerce (ขายของออนไลน์) ที่มีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต , เว็บไซต์การเงินการธนาคาร และเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญในการรับ ส่งข้อมูลสูง มีระบบ Login Username & Password เช่น Web E-Mail , Intranet , เว็บที่มีข้อมูลสำคัญ , ข้อมูลที่เป็นความลับ ที่ต้องการความปลอดภัยสูง หรือการใช้งานภายในองค์กร เป็นต้น

รูปแบบแผนผังการทำงานของ SSL

            


Domain Validation SSL Certificate
ถ้าเราต้องการใบรับรอง SSL ที่ตรวจสอบง่ายและออกใบรับรองได้รวดเร็ว ใช้เวลาในการขอใบรับรอง SSL ไม่เกิน 1-2 วัน เราต้องสั่งซื้อ SSLเทคโนโลยีแบบ DV SSL ที่ตรวจสอบความถูกต้องเจ้าของโดเมนเท่านั้น
ซึ่ง www.RiceberryPhichit.Com จะใช้ SSL ประเภทนี้
Organization Validation SSL Certificate
            ถ้าเราต้องการใบรับรอง SSL ที่ตรวจสอบง่ายและออกใบรับรองได้รวดเร็ว ใช้เวลาในการขอใบรับรอง SSL ไม่เกิน 1-2 วัน เราต้องสั่งซื้อ SSLเทคโนโลยีแบบ OV SSL ที่ตรวจสอบความถูกต้องเจ้าของโดเมนและตัวตนขององค์กรที่ขอใบรับรอง ยื่นเอกสารจัดตั้งหน่วยงานหรือหนังสือรับรองหน่วยงานประกอบการสั่งซื้อ
Extended Validation SSL Certificate
            ถ้าเราต้องการใบรับรอง SSL ที่แสดงแถบเขียวบน Browser (Green Address bar) โดยใช้การตรวจสอบที่เข้มงวด ใช้ระยะเวลาในการออกใบรับรองประมาณ 7-10 วัน เราต้องสั่งซื้อ SSL เทคโนโลยีแบบ EV SSL ที่ตรวจสอบความถูกต้องเจ้าของโดเมนและตัวตนขององค์กรที่ขอใบรับรอง ยื่นเอกสารจัดตั้งหน่วยงานหรือหนังสือรับรองหน่วยงานประกอบการสั่งซื้อ โดยมีนักกฏหมาย(Lawyer) หรือผู้ตรวจสอบบัญชี (CPA) ลงนามรับรอง

WildCard SSL Certificate
            ถ้าเราต้องการใบรับรอง SSL ที่มีความปลอดภัยครอบคลุมทุกๆ โดเมนย่อยของคุณ (multiple sub-domains) เช่น *.yourdomain.com , www.yourdomain.com , mail.yourdomain.com ใช้เวลาในการออกใบรับรองประมาณ 1-2 วัน และวิธีการตรวจสอบแบบเดียวกับ OV SSL เราต้องสั่งซื้อ แบบ Wildcard SSL
UC/SAN SSL Certificate
            ใบรับรอง SSL สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องการขอใบรับรองความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก แบบหลากหลายโดเมน เช่น www.yourdomain.com , mail.mydomain.net, เป็นต้น
            SGC SSL Certificate
ใช้เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนในการเข้ารหัสและเข้มแข็งสูงสุด สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณอย่างปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีที่มีการเข้ารหัสได้ต่ำสุด 40 ? 56 บิต และสูงสุดถึง 2048 บิต
อ้างอิง
http://www.pawoot.com/
https://ssl.in.th/tools/
http://www.readyplanet.com/
6.ระบุแนวทางและระบบความปลอดภัยของการรับช าระเงินค่าสินค้า
การที่ต้องระบุแนวทางและระบบความปลอดภัยของการรับชำระเงินค่าสินค้า
            เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้  โดยทั่วไปการรักษาความปลอดภัยให้กับระบบการชำระเงิน ได้แก่  การใช้Secure  Sockets Layer (SSL)    การใช้ Secure Electronic Transaction (SET)  และ ระบบ Verified By VISA
1)    Secure  Sockets Layer (SSL)   เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของการรับส่งข้อมูลที่นิยมมาก  จะป้องกันและเก็บรักษาความลับของข้อมูล  สามารถระบุตัวตนของร้านค้า ช่วยให้มั่นใจในการรับส่งข้อมูล
    เว็บที่ใช้ระบบ SSL  สังเกตบริเวณด้านล่างะมีสัญลักษณ์ไอคอนรูปกุญแจปรากฏอยู่ และสังเกตจาก URL ของเว็บไซต์  จะปรากฏดังนี้  https//www.abc.com   หลัง http จะมี s เพิ่มขึ้น 1 ตัว
   การใช้ระบบงานจำเป็นต้องติดต่อกับหน่วยงาน CA  (Certification Authority) เพื่อยื่นขอใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Certificate)  ซึ่งจะมีประโยชน์ในการใช้ยืนยันตัวตนของผู้ประกอบธุรกิจ
2)    ระบบความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต Secure Electronic Transaction (SET) เป็นระบบที่จัดตั้งร่วมกันระหว่าง Master Card และ VISA  เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบัตรเครดิตที่ใช้ในการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต   โดยให้ธนาคารนำระบบ Verified by VISA  มาใช้ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรองรับการทำงานด้านความปลอดภัยของการใช้บัตรเครดิตโดยเฉพาะ
3)    ระบบ MasterCard Secure Code   คือ ระบบตรวจสอบบัตรเครดิต (Online Credit Card  Authentication)  เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของการให้ข้อมูลบัตรเครดิต ด้วย Code 3-D Secure  โดยผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องลงทะเบียนขอใช้บริการกับธนาคารผู้ออกบัตรและสามารถชำระ ค่าสินค้าบริการบนเว็บไซต์ที่มีโลโก้ MasterCard Secure Credit ได้ทั่วโลก  เมื่อกรอกข้อมูลบัตรเครดิต จะได้รับข้อความยืนยัน แสดงว่าเป็นร้านค้าที่ลงทะเบียนถูกต้อง   พร้อมสอบถามรหัสผ่านส่วนตัวของผู้ถือบัตร เพื่อตรวจสอบความเป็นเจ้าของบัตรเครดิตที่แท้จริง
การชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Payment)
​​​​​​​​​​​​​​​​​Internet Payment คืออะไร
            Internet Payment เป็นการชำระค่าสินค้าและบริการหรือโอนเงินผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกชำระค่าสินค้าและบริการได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
การตัดบัญชีเงินฝากผ่านบริการ Internet Banking ของธนาคาร (ลักษณะเดียวกับการโอนเงิน) ซึ่งมีการเชื่อมโยงไว้กับเว็บไซต์ของร้านค้า
เข้าสู่ระบบ Internet Banking โดยการใส่ชื่อและรหัสผ่าน เลือกบริการชำระเงิน บัญชีเงินฝากที่จะใช้โอนเงิน และระบุข้อมูลบัญชีผู้รับเงิน และจำนวนเงินที่ชำระ แล้วรอระบบยืนยันการทำรายการสำเร็จ หลังจากนั้นจะได้รับการยืนยันทางอิเล็กทรอนิกส์


การชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
กรอกหมายเลขบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ชื่อผู้ถือบัตร วันหมดอายุของบัตร และหมายเลข CVV (Card Verification Value) ซึ่งเป็นรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตรเพื่อยืนยันว่าผู้ทำรายการเป็นเจ้าของบัตรจริง แล้วระบบจะแจ้งผลการอนุมัติ  หลังจากนั้นจะได้รับการยืนยันทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านหน้าจอ รวมถึงทาง SMS ด้วย
การชำระผ่านเว็บ​ไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ซึ่งได้เปิดบัญชีไว้กับผู้ให้บริการ e-Money ผ่านเว็บไซต์ และเติมเงินเข้าบัญชีให้เพียงพอ
เข้าสู่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการ e-Money  เลือกรายการส่งเงินให้ร้านค้า และใส่ข้อมูลอีเมล ร้านค้าผู้รับเงิน จำนวนเงิน ประเภทการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ชำระ  แล้วรอระบบยืนยันการทำรายการสำเร็จ  หลังจากนั้น ผู้ซื้อ/ร้านค้าผู้รับเงินจะได้รับอีเมลหรือ SMS เตือนการรับเงิน โดยเงินจะถูกโอนเข้าบัญชี e-Money ของร้านค้า
ในกรณีเว็บไซต์ของร้านค้ามีบริการชำระเงิน  เมื่อผู้ซื้อจะชำระเงินค่าสินค้า จะต้องตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏ เช่น ชื่อร้านค้าผู้รับเงิน ชื่อสินค้า จำนวนเงิน ค่าธรรมเนียม ก่อนจะยืนยันการทำรายการด้วยการเลือกช่องทางการชำระเงิน  และกรอกข้อมูลอีเมล ร้านค้าผู้รับเงิน และรหัสผ่านของผู้ซื้อที่ผูกไว้กับระบบของผู้ให้บริการ e-Money
ข้อดีของการใช้บริการ Internet Payment
เพิ่มความสะดวกสบายและเพิ่มช่องทางในการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ให้กับร้านค้าและผู้ซื้อสินค้า
ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมการชำระเงิน
ใช้บริการที่ไหนก็ได้ที่สามารถใช้ระบบอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง
มีบริการเสริมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สรุปยอดบัญชีคงเหลือ แสดงรายการเดินบัญชีปัจจุบัน/ประวัติการทำรายการย้อนหลัง  ใบแจ้งยอดชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill)

ข้อควรระวังในการใช้บริการ Internet Payment
ต้องเลือกซื้อจากร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการทุจริต และเลือกช่องทางการชำระเงินที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งไม่ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะในการทำรายการชำระค่าสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต

การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของทั้งร้านค้าออนไลน์และผู้ให้บริการชำระเงิน ร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้จะได้รับใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยการเข้ารหัสก่อนส่งทุกครั้ง โดยมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยของการส่งผ่านข้อมูลแบบ SSL (Secure Socket Layer) ซึ่งแสดงว่าเว็บไซต์นี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน หรือร้านค้าออนไลน์บางแห่งอาจมีการใช้ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ด้วย


การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/บัตรเดบิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต  ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อใช้ Verified by Visa (VBV), Master Card Secure Code (MCSC) และ JCB J/Secure


ควรศึกษารูปแบบธุรกรรมและวิธีการรักษาความปลอดภัยที่ธนาคารเสนอให้บริการ Internet Banking ก่อนตัดสินใจใช้บริการ และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการตั้ง Password ที่ง่ายต่อการคาดเดา และไม่บอก User ID และ Password แก่ผู้อื่น พร้อมทั้งเปลี่ยน Password เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ใด ๆ ที่แนบมาพร้อมกับอีเมล โดยให้พิมพ์ Address ของ Website ของสถาบันผู้ออกบัตรด้วยตนเอง เมื่อต้องการเข้าใช้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
อย่าหลงเชื่อตอบหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น Username, Password, ATM PIN และหมายเลขบัตรเครดิต/บัตรเดบิต  ไม่ว่าจะถามทางอีเมล โทรศัพท์ โทรสาร หรือจดหมาย ก็ตาม  อย่าลืมว่าสถาบันผู้ออกบัตรมีข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว และระลึกไว้เสมอว่าผู้ถามอาจจะเป็นมิจฉาชีพ
ควรตรวจสอบความถูกต้องของรายการธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ เช่น จำนวนเงิน วันที่ทำรายการ เลขที่บัญชี และตรวจสอบยอดเงินในบัญชี เพื่อป้องกันรายการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
ควรติดตั้งและปรับปรุงโปรแกรมเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และ/หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรมให้ทันสมัย เช่น โปรแกรม Scan Virus และโปรแกรม Personal Firewall 
ไม่ควรดาวน์โหลด ติดตั้งโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือ โปรแกรมที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และกรณีไม่ได้ใช้งานควรปิด Bluetooth และ Wireless
ทุกครั้งที่ใช้บริการเสร็จ ควรคลิก "ออกจากระบบ" (Log off, Log out, Sign off) ทันที เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นสามารถทำรายการจากบัญชีของท่านได้
หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรติดต่อธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ท่านใช้บริการโดยเร็ว
ควรแจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่เป็นปัจจุบันให้ธนาคารพาณิชย์ทราบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบริการ Internet Banking จะต้องรับ SMS แจ้ง OTP เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนผู้ทำรายการที่แท้จริง





ขั้นตอนการใช้บริการธนาคารออนไลน์
1. ชำระโดยการตัดบัญชีเงินฝากผ่าน Internet Banking ซึ่งมีการเชื่อมโยงไว้กับเว็บไซต์ของร้านค้า

2. ชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

 3. ชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)


ถาม จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการชำระค่าสินค้าและบริการที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตมีความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ร้านค้าไม่เห็นตัวผู้ซื้อหรือบัตรเลย
ตอบ การซื้อของผ่านเว็บไซต์ ผู้ซื้อจะต้องกรอกหมายเลขบัตรเครดิต/บัตรเดบิต รวมทั้งหมายเลข CVV (Card Verification Value) เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริง โดย CVV ของบัตร Visa และ Master Card เป็นเลข 3 หลักสุดท้ายที่พิมพ์อยู่ด้านหลังของบัตร ส่วนของบัตร American Express เป็นเลข 4 หลักที่อยู่ด้านหน้าของบัตรทางด้านขวาเหนือหมายเลขบัตร

            นอกจากนี้ ผู้ให้บริการรับบัตรบางรายอาจมีขั้นตอนตรวจสอบอื่น ๆ เพื่อยืนยันว่าผู้ถือบัตรเป็นผู้ทำรายการจริง เช่น Verified by VISA, MasterCard SecureCode, J/Secure รวมไปถึงกรณีสถาบันผู้ออกบัตรอาจโทรมาสอบถามเมื่อมีการใช้จ่ายยอดเงินสูง
ถาม     ​Verified by Visa (VBV), MasterCard SecureCode (MCSC) และ JCB J/Secure คืออะไร ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ และขั้นตอนการสมัครใช้บริการ
ตอบ     ​(1) Verified by Visa (VBV), MasterCard SecureCode (MCSC) และ JCB J/Secure เป็นการใช้ รหัสผ่านของระบบ VISA/MasterCard/JCB ซึ่งอาจอยู่ในรูป PIN หรือรูป OTP ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้ครั้งเดียวโดยรับ SMS ทางโทรศัพท์มือถือที่แจ้งเบอร์ไว้ (ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตร)  และใช้ร่วมกับ ข้อความยืนยันส่วนตัวที่ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดตอนสมัครใช้บริการ หรือขอเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการชำระด้วยบัตรเดบิต/บัตรเครดิต ไม่ให้ผู้อื่นใช้แค่หมายเลขบัตรในการทำรายการ และมั่นใจได้ว่าร้านค้าออนไลน์ที่ทำรายการอยู่นั้นได้มีการลงทะเบียนกับระบบแล้ว (ในเว็บไซต์ของร้านค้าจะมีสัญลักษณ์ดังกล่าว)

(2) ขั้นตอนการสมัครใช้บริการ ในครั้งแรกให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของสถาบันผู้ออกบัตร  หรือหากนำบัตรเครดิตที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนไปใช้ชำระให้ร้านค้าออนไลน์ ระบบก็จะปรากฏหน้าจอให้ลงทะเบียนโดยอัตโนมัติ โดยขั้นที่ 1 กรอกข้อมูลวันเดือนปีเกิด วันที่บัตรหมดอายุ วงเงินของบัตร หมายเลขบัตรประชาชน และขั้นที่ 2 กำหนด ข้อความยืนยันส่วนตัวและ รหัสผ่านและเมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว เจ้าของบัตรสามารถนำ รหัสผ่านและ ข้อความยืนยันส่วนตัวที่ตนเป็นผู้กำหนด ไปทำรายการชำระเงินให้ร้านค้าออนไลน์ได้ทันที
ตัวอย่างการสมัคร Verified by Visa

ในขั้นตอนการชำระเงิน เมื่อผู้ซื้อกรอกข้อมูลบัตรเครดิตแล้ว ก็จะต้องตรวจสอบความถูกต้องของ ข้อความยืนยันส่วนตัว” (ตามที่ลงทะเบียนไว้) และตรวจสอบว่าเป็นเว็บไซต์ของสถาบันผู้ออกบัตรจริง โดยการคลิกที่สัญลักษณ์ รูปแม่กุญแจที่มุมขวาล่างของ browser เมื่อพบว่าถูกต้องทั้งหมดแล้ว จึงค่อยกรอก รหัสผ่านของระบบ VISA/MasterCard/JCB เพื่อทำรายการชำระเงิน
​            ถาม ​ใช้ Verified by VISA, MasterCard SecureCode และ JCB J/Secure อย่างไรให้ปลอดภัย
            ตอบ     ​เนื่องจาก Verified by VISA, MasterCard SecureCode และ JCB J/Secure เป็นเหมือนกุญแจอีก 1 ดอกที่ป้องกันมิจฉาชีพมาขโมยเงินในกระเป๋า  ดังนั้น ผู้ถือบัตรเดบิต/บัตรเครดิต จึงควรให้สำคัญในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การจัดการ รหัสผ่านไม่เปิดเผยรหัสผ่านให้ผู้อื่นทราบ  ไม่ใช้ระบบช่วยจำรหัสผ่านที่มีอยู่ใน Web Browser ไม่ใช้รหัสผ่านของระบบ Verified by VISA, MasterCard SecureCode และ JCB J/Secure ร่วมกับรหัสผ่านของการใช้บริการอื่นทางอินเทอร์เน็ตหรืออีเมล  เปลี่ยนรหัสผ่านทันทีที่เข้าใช้บริการครั้งแรก 
และเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะ ๆ
(2) การจัดการข้อมูลส่วนตัว  ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเดบิต/บัตรเครดิต ให้แก่เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 
(3) สิ่งที่ควรทำทุกครั้งเมื่อใช้บริการเสร็จ  ออกจากระบบด้วยวิธีการ Log Off และ ลบข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ (Clear Cache) ใน Browser
(4) คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการซื้อสินค้าออนไลน์  ไม่ใช้คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต/
สมาร์ทโฟนของผู้อื่นหรือของสาธารณะในการทำรายการ  ไม่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะ/ที่ไม่รู้จักดีพอ  ลงโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้และเป็นปัจจุบัน  และปิดการทำงาน (Disable) “File and Printer Sharing”
(5) การติดต่อสถาบันผู้ออกบัตร  แจ้งสถาบันผู้ออกบัตรทันทีที่มีปัญหาการใช้งาน (เช่น กรอกรหัสผ่านแล้วเข้าระบบไม่ได้ มีธุรกรรมเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้ทำรายการ)  หรือแจ้งทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่/อีเมล/เบอร์โทรศัพท์มือถือ
         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น