การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การค้าในตลาดอาเซียน การทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะต้องปรับตัวในเรื่องใดบ้าง
การทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และการตลาด
E-Commerce ในอาเซียนหรือกลุ่ม
AEC มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ การบริหาร การจัดการ
เมื่อเข้าสู่ AEC แล้ว
สำหรับประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจจะต้องทำงานค้าขายร่วมกับประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
จึงจะต้องปรับตัวในเรื่องต่างๆเพื่อรองรับการค้าละการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นดังนี้
1.การส่งเสริมสินค้าและธุรกิจบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาดอาเซียน
ทำได้โดยการสำรวจความต้องการสินค้าประเภทต่างๆของสมาชิกอาเซียน
โดยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในอาเซียน
การจัดคณะผู้แทนการค้าในกลุ่มสินค้าเป้าหมายเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน
การเชิญคณะผู้แทนการค้าอาเซียนมาไทย การจัดงานแสดงสินค้าไทย Thailand Exhibitions/Outlets โดยมุ่งเน้นสินค้าที่มีศักยภาพ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค : ลาว เวียดนาม
กัมพูชา พม่า สินค้าอาหาร : สิงคโปร์ มาเลเซีย สินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า
เครื่องประดับ เครื่องหนัง) : สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ชิ้นส่วนยานยนต์
และผลิตภัณฑ์ยาง : เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เครื่องใช้ในบ้านของตกแต่งบ้าน :
อินโดนีเซีย มาเลเซีย
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์/เครื่องปรับอากาศและท้าความเย็น : ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย เป็นต้นโดยที่พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
5 อันดับแรก
คือ1. อุตสาหกรรมแฟชั่น เสื้อผ้า
เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ 2. อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
และอินเทอร์เน็ต 3.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 4. อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ และ 5. อุตสาหกรรมบริการด้านการศึกษา
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาและผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียน ให้ดีและมีคุณภาพตรงตามความต้องการควบคู่กับการพัฒนาทางเทคโนโลยีทุกๆด้านทั้งทางด้านการผลิต การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมและการขนส่ง เพื่อรองรับกระบวนการทางการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และการตลาด E-Commerceต่อไป
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาและผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียน ให้ดีและมีคุณภาพตรงตามความต้องการควบคู่กับการพัฒนาทางเทคโนโลยีทุกๆด้านทั้งทางด้านการผลิต การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมและการขนส่ง เพื่อรองรับกระบวนการทางการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และการตลาด E-Commerceต่อไป
2. ด้านภาษา
ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนแต่ละประเทศมีประวัติความเป็นมาในการพัฒนาการศึกษาให้แก่ประชาชนเพื่อมีคุณลักษณะและสมรรถนะที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญรุดหน้าแตกต่างกัน
ประเทศที่มีความโดดเด่นในระดับสากล มีดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งดัชนีจัดลำดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษ
ได้แก่ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ซึ่งแม้จะเป็นประเทศที่มีความสามารถนำพาประชาชนให้มีความสามารถและทักษะทางภาษาอังกฤษเทียบเท่ากับประเทศที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
(English as a Native
Language) สิงคโปร์ยังมุ่งหน้าพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษให้แก่ประชาชนของประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืน
โดยได้บรรจุเป้าหมายด้านภาษาอังกฤษให้เป็นนโยบายของประเทศ
ซึ่งสิงคโปร์พัฒนาให้เป็นนโยบายการจัดการศึกษาให้เป็นระบบ 2 ภาษา
(Bilingual Education Policy) ซึ่งกำหนดให้การเรียนการสอนต้องดำเนินการเป็นภาษาอังกฤษ
(English as the first language of instruction) แม้ว่าบริบทโดยรวมของประเทศจะเป็นแบบผสมผสานทางวัฒนธรรม
เชื้อชาติ และภาษา ประกอบด้วย เชื้อสายมาเลย์ จีน และอินเดีย
และสิงคโปร์มีภาษาทางการ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง (Mandarin) ภาษามาเลย์ และภาษาทมิฬ
อีกประเทศหนึ่ง ได้แก่ มาเลเซีย
มีนโยบายแห่งชาติเรื่องภาษาอังกฤษ โดยบรรจุให้เน้นการสอนภาษาอังกฤษ (English
Language Teaching–ELT) ซึ่งผลักดันให้ทั้งประเทศปรับเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษเพื่อเป็นสื่อในการดำเนินการเรียนการสอนแทนภาษาประจำชาติเดิม
ซึ่งได้แก่ Bahasa Malaysia ทั้งนี้
เพื่อผลักดันความก้าวหน้าของประเทศตามเป้าหมายโครงการ "Vision 2020” ซึ่งเป็นแนวคิดเพื่อพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information
and Communication Technology) ซึ่งมาเลเซียได้วิเคราะห์ว่าทักษะและสมรรถนะทางภาษาอังกฤษเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้โครงการตามแนวคิด
Vision 2020 ประสบความสำเร็จได้
แม้ว่าในอดีตยาวนานที่ผ่านมามาเลเซียมุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องภาษา Bahasa
Malaysia ให้เป็นภาษากลางอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศอีกด้วย
มาเลเซียได้เริ่มผลักดันให้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อดำเนินการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาและมีแนวทางพัฒนาให้ต่อยอดไปสู่ระดับอุดมศึกษาต่อไปอย่างแน่นอน
ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนทั้งหมดจึงต้องตื่นตัวในการสร้างประชาชนที่มีทักษะและสมรรถนะทางภาษาอังกฤษ
เพื่อให้ประเทศเป็นสมาชิกที่มีศักยภาพส่งเสริมความแข็งแกร่งของประชาคมอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลกต่อไป
สำหรับภาษาอังกฤษ ของชั้นฝีมือแรงงานของไทยเรา
จะต้องพัฒนามากกว่านี้ เช่นอาชีพบริการ ซึ่งต้องพูดภาษาอังกฤษได้ เพื่อความสะดวกในการสื่อสารกับชาวต่างชาติเช่นที่พักตามแหล่งท่องเที่ยว
รวมถึงร้านค้าและร้านอาหารต่างๆซึ่ง ชาวต่างชาติแต่ละวันจะเยอะมาก
พนักงานประจำร้านทุกคนจึงต้องใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ หรืออย่างอาชีพวิศวกร
ยิ่งสำคัญมากกว่าเดิม เพราะเป็นอาชีพใน 7 อาชีพที่ที่ตกลงทำ MRA (Mutual RecongitionArrangment)
ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะต้องสื่อสารสื่อสารกับผู้ว่าจ้างและส่วนงานอื่นๆได้
เช่นเดียวกับการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์เช่นการซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน
ทุกเว็บไซด์ที่เปิดการค้าผ่าน E-commerce อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ เมนูหน้าเว็บไซด์ อย่างน้อยต้องมีการแสดงผลได้อย่างน้อย
2 ภาษา คือภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หากมีภาษาอื่นๆในอาเซียนด้วยย่อมจะเป็นข้อได้เปรียบยิ่งขึ้นไปอีกยิ่งไปกว่านั้น
พนักงานในร้าน หรือตัวแทนจำหน่ายต่างๆ จะต้องมีคนที่จะสามารถพูด
ติดต่อสื่อสารทั้งทางวาจา หรือผ่าน E-mail ต่างๆได้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นการสนับสนุนหรือส่งเสริมการขายซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถขยายโอกาสให้เจริญเติบโตต่อไปได้อีก
อ้างอิงที่มา:
http://www.whoknown.com/2014/03/blog-post_4.html
http://www.thai-aec.com/
http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=5895&filename=index
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น